Breaking News

มิดเดิลมาร์ช แคปปิตอล ผนึกกำลัง มิดเดิลมาร์ช แคปปิตอล เจแปน และกลุ่มพันธมิตร เปิดตัวการลงทุนในไทย

เน้นลงทุนธุรกิจกลุ่มนวัตกรรม-สตาร์ทอัพ-กรีนเทคโนโลยี รับกระแสเติบโตแรง


กรุงเทพฯ – 29 เมษายน พ.ศ. 2562 - บริษัท มิดเดิลมาร์ช แคปปิตอล (Middlemarch Capital LLC) และบริษัท มิดเดิลมาร์ช แคปปิตอล เจแปน จำกัด (Middlemarch Capital Japan Co., Ltd.) ประกาศกลยุทธ์การลงทุนในประเทศไทย ผ่าน 3 กองทุนใหม่ของบริษัท ได้แก่ Another Sky PE, Skytree Fund และ Shiodome Alpha Fund ซึ่งมีนโยบายลงทุนในธุรกิจกลุ่มนวัตกรรม-สตาร์ทอัพ และกรีนเทคโนโลยี


นายอาภากรณ์ สุวรรณศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิดเดิลมาร์ช แคปปิตอล และบริษัท มิดเดิลมาร์ช แคปปิตอล เจแปน จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมภาวะการลงทุนในปัจจุบัน แม้ว่าในระยะสั้นและกลางจะถูกกดดันจากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งในมาตรการทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจยุโรป ปัญหาด้านเศรษฐกิจและการเมืองในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ แต่ในระยะยาว บริษัทมิดเดิลมาร์ช แคปปิตอล มีมุมมองเชิงบวกต่อภาวะการลงทุน โดยเฉพาะยิ่งในทวีปเอเชียและประเทศไทย โดยได้ประเมินอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชียว่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องแม้มีอัตราการชะลอตัว รวมถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ที่ 3.9% โดยได้รับอานิสงส์จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำต่อไป การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขยายตัวของแนวคิด เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจ ทั้งนี้ บริษัทได้เล็งเห็นโอกาสที่ดีในการลงทุนในเอเชียและประเทศไทย

บริษัท มิดเดิลมาร์ช แคปปิตอล (Middlemarch Capital LLC) เปิดเผยว่า จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและบทบาทที่มีต่อเศรษฐกิจโลกของเอเชีย รวมถึงเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยในช่วงที่ผ่านมา ถือได้ว่ามีอัตราการเติบโต และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อการอยู่รอดและความได้เปรียบด้านการแข่งขันทางธุรกิจ


จึงเป็นเวลาเหมาะสมที่บริษัทจะได้ลงทุนในเอเชียและประเทศไทย โดยบริษัทได้กำหนดกลยุทธ์การลงทุนในประเทศไทย ดังต่อไปนี้

1. การลงทุนในธุรกิจประเภทนวัตกรรมและสตาร์ทอัพ มุ่งลงทุนในระยะกลาง-ยาว เน้นการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพทั้งประเภทที่มีแนวคิดที่น่าสนใจ มีแนวโน้มความเป็นไปได้และความได้เปรียบทางธุรกิจ และ สตาร์ทอัพที่เริ่มตั้งตัวได้ และต้องการขยายธุรกิจ โดยล่าสุดบริษัทได้ทำเอ็มโอยูร่วมกับบริษัท Satang Technology ผู้สร้างนวัตกรรมธุรกรรมการเงินดิจิทัลชั้นแนวหน้าในประเทศไทย เพื่อลงทุนผ่านกองทุน Another Sky PE กองทุนไพรเวทอิควิตี้ ซึ่งมีนโยบายลงทุนในธุรกิจกลุ่มนวัตกรรมและสตาร์ทอัพในเอเชีย

2. การลงทุนในธุรกิจกลุ่ม Green Technology ทั้งธุรกิจที่เป็นนวัตกรรมและมีโอกาสในการขยายตัวทางธุรกิจ โดยทำการลงทุนตั้งแต่ระดับการทำการวิจัยจนกระทั่งถึงการพัฒนาไปสู่ธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งนี้ ล่าสุด บริษัทได้ลงนามสัญญาความร่วมมือและลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัท Delphi Robotics ผู้ศึกษา ค้นคว้า และพัฒนานวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ ผ่านกองทุน Skytree Fund กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่มีนโยบายการลงทุนในGreen Technology

3. การลงทุนในด้านการสร้างบุคลากร ตลอดจนเทคโนโลยีด้านการลงทุน โดยบริษัทมีโครงการที่จะจัดตั้งหน่วยงาน/บริษัทเพื่อการค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับกลยุทธ์ตลอดจนเทคโนโลยีด้านการลงทุนขึ้นในประเทศไทย ผ่านความสนับสนุนของกองทุน Shiodome Alpha Fund กองทุนเฮดจ์ฟันด์ซึ่งมีนโยบายลงทุนในตราสารอนุพันธ์และผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีความซับซ้อน


นายอาภากรณ์ สุวรรณศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิดเดิลมาร์ช แคปปิตอล และบริษัท มิดเดิลมาร์ช แคปปิตอล เจแปน จำกัด กล่าวว่า “นับตั้งแต่วิกฤติการเงินโลกในปี 2008 เศรษฐกิจเอเชียได้รับผลกระทบไม่มากนัก ตรงกันข้าม กลับได้รับอานิสงส์จากมาตรการการแก้ไขวิกฤติที่ผลักดันให้เงินทุนจำนวนมากมายมหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่ภูมิภาคเอเชีย ทำให้เศรษฐกิจเอเชียที่มีฐานรากเดิมเข้มแข็งอยู่แล้วยิ่งได้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงปัจจุบันและในปีนี้ แม้ว่าจะยังคงมีความกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทว่าในภาพรวมเศรษฐกิจเอเชียก็ยังคงมีการขยายตัวต่อไป ดึงดูดเม็ดเงินจำนวนมากให้เคลื่อนย้ายเข้าสู่ละแวกนี้ และสำหรับประเทศไทย ในช่วงต้นปีที่ผ่านมานี้ธุรกิจหลายภาคส่วนเริ่มส่งสัญญาณที่ดีต่อการการลงทุนในระยะยาว ความสนใจของนักลงทุนต่างประเทศมีมากขึ้นภายหลังการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม เราจึงเชื่อมั่นว่า การลงทุนในเอเชียและโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยเป็นกลยุทธ์เหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่า แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความกดดันจากปัญหาความขัดแย้งในมาตรการทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะเป็นประเด็นสำคัญที่มีผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน แต่มองว่ายังคงมีทางเลือกและโอกาสด้านการลงทุนเพื่อลดทอนความเสี่ยงในผลกระทบของปัจจัยลบข้างต้น ทำให้ในปี 2019 นี้ บริษัทหันมาเปิดแนวรบด้านการลงทุนในกลุ่มสตาร์ทอัพ กรีนเทคโนโลยี ตลอดจนเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับองค์ความรู้และนวัตกรรมด้านการลงทุน

ห้วงเวลานี้การลงทุนในธุรกิจที่มีการสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยี ที่มีความจำเป็นหรือความต้องการในการแก้ปัญหาหรืออำนวยความสะดวกให้กับการดำเนินชีวิต เสริมสร้างคุณภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ประหยัดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพต่อธุรกิจ จะให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนที่เหนือกว่าในระยะยาว

นอกจากนี้ คุณอาภากรณ์ กล่าวเสริมว่า “สำหรับประเทศไทย ในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ การมีระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุนและการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันเป็นสิ่งจำเป็น โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ อีกหนึ่งประเด็นที่น่าจะจับมองและพลิกโฉมวงการเงินของประเทศไทยก็คือเทคโนโลยีการเงิน หรือ ฟินเทค และการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจของประเทศ ดังนั้น การเปิดรับ ศึกษาอย่างรอบคอบ สนองตอบ ปรับตัวและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นกระบวนการสำคัญที่ก่อให้เกิดระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่เป้าหมายที่น่าสนใจในลำดับต้นๆ ของเอเชีย

เกี่ยวกับมิดเดิลมาร์ช แคปปิตอล
มิดเดิลมาร์ช แคปปิตอล เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการกลยุทธ์และบริหารการลงทุน (Investment Management Company) จดทะเบียนในเดลาแวร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ปี 2014 มีที่ตั้งอยู่ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีกลยุทธ์ Equity Long/Short, Managed Futures และ Value-Oriented Investment Strategy ปี 2019 จัดตั้ง มิดเดิลมาร์ช แคปปิตอล เจแปน บริษัทจดทะเบียนในประเทศญี่ปุ่นเพื่อสนับสนุนความร่วมมือและการขยายฐานทางธุรกิจในประเทศญี่ปุ่น

ข้อมูลสนับสนุน
จากผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่าผู้บริหารหรือซีอีโอมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและธุรกิจในปี พ.ศ. 2562 นับเป็นสัญญาณที่ดีต่อการการลงทุนในระยะยาว โดยซีอีโอจำนวน 74% ที่ตอบแบบสำรวจทั้งหมดคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. 2562 จะเติบโต 3-4% ขณะที่ 59% คาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปีนี้จะดีขึ้นจากครึ่งหลังของปีก่อน ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกในปี 2562 นี้ ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ แม้จะเป็นไปในอัตราที่ชะลอลง ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยหลากหลายประการ ได้แก่ สงครามการค้า นับว่ามีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมเป็นอย่างมาก และเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ว่าสุดท้ายแล้วสถานการณ์จะเป็นไปในทิศทางใด รวมทั้งปัจจัยหลังการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม เสถียรภาพการลงทุนของประเทศไทยก็ส่อแนวโน้มเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2562 อยู่ที่ 3.7% YoY เท่ากับปี 2561 และ 2560 ซึ่งเป็นการประมาณการในช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว และเป็นการปรับลดประมาณการลงครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี โดยมีสาเหตุจากประเด็นเรื่องสงครามการค้าและความกังวลในวิกฤตเศรษฐกิจของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (EM) ในส่วนของประมาณการตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจรายประเทศ IMF คาดว่า GDP ของสหรัฐฯ จะขยายตัวในระดับ 2.5% YoY จีนขยายตัวที่ระดับ 6.2% YoY ยูโรโซนขยายตัวที่ระดับ 1.9% YoY และญี่ปุ่นขยายตัวที่ระดับ 0.9% YoY ส่วนประเทศไทย IMF คาดว่า GDP ของไทยจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเป็น 3.9% YoY

ไม่มีความคิดเห็น